๑. ภาษาใช้เสียงสื่อความหมาย
ซึ่งต้องประกอบด้วยหน่วยเสียง ( เป็นหน่วยในภาษา ) และ ความหมาย
ความหมายของภาษามี ๒ อย่าง คือ
๑ ) ความหมายอย่างกว้าง
ภาษา หมายถึง
การแสดงออกเพื่อสื่อความหมายโดยมีระบบกฎเกณฑ์เข้าใจกัน
ระหว่างสองฝ่าย อาจจะเป็นการแสดงออกทางเสียง ท่าทาง
หรือสัญลักษณ์ต่าง และอาจ
เป็นการสื่อความหมายระหว่างมนุษย์หรือระหว่างสัตว์ก็ได้
๒ ) ความหมายอย่างแคบ
ภาษา หมายถึง ถ้อยคำที่มนุษย์ใช้สื่อความหมาย
๒. เสียงกับความหมายมีความสัมพันธ์กัน
มีสาเหตุเกิดจากการเลียนเสียงจากธรรมชาติ เช่น
๑ ) เกิดจากการเลียงเสียงจากสิ่งต่าง ๆ เช่น เพล้ง ,
โครม , ปัง
๒ ) เกิดจากการเลียนเสียงของสัตว์ เช่น แมว ,
ตุ๊กแก
๓ ) เกิดจากการเลียนเสียงจากสิ่งสิ่งนั้น เช่น หวูด ,
ออด
๔ ) เกิดจากเสียงสระหรือพยัญชนะที่มีความสัมพันธ์กับความหมาย เช่น
เซ , เป๋ มี
ความหมายว่า ไม่ตรง ( แต่เป็นเพียงส่วนน้อยในภาษาเท่านั้น )
๕ ) ภาษาถิ่นบางถิ่นจะมีเสียงสัมพันธ์กับความหมาย เช่น สระเอาะ
หรือ ออ ภาษาถิ่นบาง
ถิ่นจะบอกความหมายว่าเป็นขนาดเล็ก ดังเช่น จ่อว่อ หมายถึง เล็ก ,
โจ่โว่ หมายถึง ใหญ่
๓. เสียงกับความหมายไม่สัมพันธ์กัน
เช่น เด็ก น้อย เดิน เสียงจะไม่สัมพันธ์กัน แต่เราก็รู้ว่า “
เด็ก ” หมายถึง คนที่มีอายุน้อย “ น้อย ” หมายถึง เล็ก และ “ เดิน
” หมายถึง การยกเท้าก้าวไป
เป็นการตกลงกันของคนที่ใช้เสียงนั้น ๆ ว่าจะให้มีความหมายเป็นอย่างไร
๔. หน่วยในภาษาประกอบกันเป็นพยางค์ที่ใหญ่ขึ้น
หน่วยในภาษา หมายถึง ส่วนประกอบของภาษา ได้แก่ เสียง คำ และประโยค
ซึ่งเราสามารถนำเสียงที่มีอยู่อย่างจำกัดมาสร้างคำได้เพิ่มขึ้น
และนำคำมาสร้างเป็นประโยคต่าง ๆ ได้มากขึ้น เช่น ฉันกินข้าว อาจจะเพิ่มคำเป็น “
ฉันกินข้าวผัดกะเพรา ” เป็นต้น
๕. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงของภาษามีสาเหตุ ดังนี้
๑ ) การพูดจาในชีวิตประจำวัน
– การกร่อนเสียงพยางค์หน้า เช่น หมากขาม เป็น
มะขาม สาวใภ้ เป็นสะใภ้
– ตัวอัพภาส เป็นการตัดเสียง หรือ
การกร่อนจากตัวที่ซ้ำกัน เช่น ยับยับ เป็น ยะยับ
วิบวิบ เป็น วะวิบ รี่รี่ เป็น ระรี่
– การกลมกลืนของเสียง เช่น อย่างไร เป็น ยังไง
ดิฉัน เป็น เดี๊ยน อันหนึ่ง เป็น
อนึ่ง
๒ ) อิทธิพลของภาษาอื่น
เช่น ภาษาอังกฤษจะมีอิทธิพลมากที่สุด มีการยืมคำ
และประโยคมาใช้ทำให้เป็น
เกิดเป็นสำนวนต่างประเทศ
และมีการดัดแปลงเพื่อให้เข้ากับลักษณะภาษาไทย
๓ ) ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
เมื่อมีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้น กระบวนการความคิดใหม่ ๆ
เกิดขึ้นเป็นสาเหตุให้เกิด
คำศัพท์ใหม่ ๆ ตามมามากขึ้นตามยุคตามสมัยปัจจุบัน
ส่วนคำที่ใช้มาแต่เดิม
อาจจะสูญหายไปซึ่งคนสมัยใหม่อาจจะไม่รู้จัก เช่น ดงข้าว หรือ
เกิดศัพท์ใหม่แทนของ
เก่า เช่น ถนน เป็น ทางด่วน บ้าน เป็น คอนโด ทาวเฮาส์ ฯลฯ
๔ ) การเรียนภาษาของเด็ก
ภาษาของเด็กเมื่อเริ่มเรียนรู้ภาษาเด็กจะปรุงเป็นภาษาของเด็กเอง
ซึ่งไม่เหมือนกับ
ภาษาของผู้ใหญ่ ใช้คำไม่ตรงกัน ออกเสียงไม่ตรงกัน
ความหมายจึงไม่ตรงกับผู้ใหญ่
เมื่อเด็กเติบโตขึ้นก็จะสืบทอดภาษาต่อไปได้อีกทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลงไปได้
๖. ลักษณะที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างกันของภาษา
ลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
๑ ) ใช้เสียงสื่อความหมาย มีทั้งเสียงสระและเสียงพยัญชนะ
๒ ) มีการสร้างศัพท์ขึ้นใหม่ ได้แก่ คำประสม ,
คำซ้ำ
๓ ) มีสำนวน มีการใช้คำในความหมายเดียวกัน
๔ ) มีคำชนิดต่าง ๆ เช่น คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา และคำขยาย
๕ ) สามารถขยายประโยคเพื่อให้ยาวออกไปเรื่อย ๆ ได้
๖ ) มีการแสดงความคิดต่าง ๆ เช่น ประโยคคำถาม ประโยคคำตอบ
ประโยคปฏิเสธ
ประโยคคำสั่ง
๗ ) สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ลักษณะที่แตกต่างกัน
๑ ) เสียงในภาษาอังกฤษมีเสียง G , Z แต่ในภาษาไทยไม่มี
๒ ) ภาษาไทยมีวรรณยุกต์ในประโยค ส่วนภาษาอื่นไม่มี
๓ ) ไวยากรณ์ ภาษาไทยเรียงประโยคจาก ประธาน + กริยา + กรรม
แต่ภาษาอื่นเรียง
สลับกันได้
๗. ลักษณะของภาษาในการสื่อสาร
๑ ) วัจนภาษา
คือ ภาษาที่ใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร
๒ ) อวัจนภาษา
คือ ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร ได้แก่
– กริยา ท่าทาง สีหน้า สายตา เสียง ( ปริภาษา
)
– สัญญาณ สัญลักษณ์ ( รวมถึงอักษร )
– การสัมผัส ( ผัสภาษา / สัมผัสภาษา )
– ลักษณะทางกายภาพ ( ภาษาวัตถุ / กายภาษา )
– ระยะห่าง ( เทศภาษา )
– เวลา ( กาลภาษา )
– กลิ่น รส ภาพ สี ลักษณะตัวอักษร
ความสำคัญของภาษา
๑. ภาษาช่วยธำรงสังคม
การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคมหนึ่ง ๆ
นั้นจะมีความสุขได้ต้องรู้จักใช้ภาษาแสดงไมตรี
จิตความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน แสดงกฎเกณฑ์ทางสังคมที่จะปฏิบัติร่วมกัน
การประพฤติตนให้
เหมาะสมแก่ฐานะของตนในสังคมนั้น ๆ ทำให้สามารถธำรงสังคมนั้นอยู่ได้
ไม่ปั่นป่วนและ
วุ่นวายถึงกับสลายตัวไปในที่สุด
๒. ภาษาแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล
คือ
แสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลให้เห็นว่าบุคคลมีอุปนิสัย รสนิยม
สติปัญญาความคิดและความอ่านแตกต่างกันไป
๓. ภาษาช่วยพัฒนามนุษย์
มนุษย์ใช้ภาษาในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด
และประสบการณ์ให้แก่กันและกัน ทำให้
มนุษย์มีความรู้กว้างขวางมากขึ้นและเป็นรากฐานในการคิดใหม่ ๆ
เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่
และสังคมมนุษย์พัฒนาเจริญขึ้นตามลำดับ
๔. ภาษาช่วยกำหนดอนาคต
การใช้ภาษาในการกำหนดอนาคต เช่น การวางแผน การทำสัญญา
การพิพากษา การ
พยากรณ์ การกำหนดการต่าง ๆ
๕. ภาษาช่วยจรรโลงใจ
ทำให้เกิดความชื่นบาน มนุษย์พอใจที่อยากจะได้ยินเสียงไพเราะ
จึงได้มีการนำภาษาไป
เรียบเรียงเป็นคำประพันธ์ที่มีสัมผัสอันไพเราะก่อให้เกิดความชื่นบานในจิตใจ
และสามารถ
เล่นความหมายของคำในภาษาควบคู่ไปกับการเล่นเสียงสัมผัสได้
จึงทำให้เกิดคำคม คำผวน
สำนวน ภาษิตและการแปลงคำขวัญ เพื่อให้เกิดสำนวนที่น่าฟัง
ไพเราะและสนุกสนานไปกับ
ภาษาด้วย
อิทธิพลของภาษาต่อมนุษย์
อิทธิพลของภาษาต่อมนุษย์ไม่ใช่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ใช้แทนสิ่งต่างๆ
เท่านั้น
แต่มนุษย์เชื่อว่าคำบางคำศักดิ์สิทธิ์ประกอบเป็นคาถาแล้วสามารถดลบันดาลสิ่งต่างๆ
ให้เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ เช่น เชื่อว่าต้นไม้บางชนิดมีชื่อพ้องกับสิ่งมีค่ามีมงคล
หรือคำบางคำใช้เรียกให้เพราะขึ้น ในขณะที่บางคำกลับเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ
วัฒนธรรมกับภาษา
วัฒนธรรม มาจากคำว่า “ วัฒน ”
หมายถึง ความเจริญงอกงาม “ ธรรม ” หมายถึง
คุณงามความดีที่เจริญงอกงามอันนำไปสู่วิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์อย่างมีแบบแผนในการประพฤติและปฏิบัติ
พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธทรงบัญญัติจากคำภาษาอังกฤษว่า
Culture วัฒนธรรมเป็นมรดกของสังคมที่สืบทอดความรู้ความคิดและความเชื่อถือซึ่งเป็นค่านิยมที่ทำให้เกิดความมีระเบียบแบบแผน
ความสามัคคีและมีศีลธรรมที่แสดงลักษณะเฉพาะตัวเอาไว้ ที่เรียกว่า เอกลักษณ์
สาเหตุที่วัฒนธรรมของชนต่างหมู่ต่างเหล่าแตกต่าง
๑. ที่ตั้ง
๒. ภูมิอากาศ
๓. ความอุดมสมบูรณ์หรือความแร้นแค้น
๔. กลุ่มชนแวดล้อม
ลักษณะของภาษาไทยที่ควรสังเกต
๑. นิยมใช้คำสัมผัสคล้องจองกัน
๒. มีคำที่แสดงฐานะบุคคลตามวัฒนธรรมไทย คือพระมหากษัตริย์ พระภิกษุ
พระบรมวงศานุวงศ์
สุภาพชน ซึ่งการใช้ภาษาก็จะแตกต่างลดหลั่นกันตามฐานะของแต่ละบุคคล
๓. ภาษาไทยใช้คำไทยแท้ ซึ่งเป็นพยางค์เดียว
ต่อมาได้รับอิทธิพลจากภาษาอื่น จึงเปลี่ยนแปลง
การใช้คำ แต่ยังคงใช้คำไทยแท้ในภาษาพูด เช่น บุตร ใช้แทน ลูก
บิดามารดา ใช้แทน พ่อ , แม่
เป็นต้น
๔. ภาษาไทย แสดงลักษณะเฉพาะเกี่ยวกับรสอาหาร เช่น รสหวาน รสขม
รสจืด
๕. ภาษาไทยมีคำที่มีความหมายเฉพาะสื่อสารเป็นที่เข้าใจ
ภาษาถิ่นกับวัฒนธรรม
ภาษาถิ่นที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
สมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามได้แบ่งวัฒนธรรมเป็น ๔ สาขาดังนี้
๑.วัฒนธรรมทางคติธรรม เป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในเรื่องจิตใจและศาสนา
๒.วัฒนธรรมทางเนติธรรม เป็นวัฒนธรรมทางกฎ ระเบียบประเพณี
กฎหมายที่ยอมรับนับ
ถือกัน
๓.วัฒนธรรมทางวัตถุธรรม
เป็นวัฒนธรรมทางวัตถุที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิต การกินดีอยู่ดี
๔.วัฒนธรรมทางสหธรรม เป็นวัฒนธรรมทางสังคมเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกัน
ความเอื้อเฟื้อ
เผื่อแผ่ต่อกัน
รวมทั้งระเบียบมารยาทที่จะติดต่อกันเกี่ยวกับสังคมอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น